ลักษณะทางสังคมของชาวบ้านยางชุมใหญ่
โครงสร้างจำนวนประชากรของชาวบ้านยางชุมใหญ่มีประมาณ 3,138 คน
แยกเป็นชาย 1,574 คน เป็นหญิง
1,564
คน รวม 3,138 คน ( 2541 )
สถาบันทางสังคมของบ้านยางชุมใหญ่
*
สถาบันครอบครัว ปัจจุบันเป็นครองครัวเล็กมากขึ้น แต่ก็มีประมาณ
20
เปอร์เซนต์ที่ยังเป็นครอบครัวใหญ่
การเป็นอยู่ของครอบครัวจะอยู่อย่างง่าย ๆ
มีการปรับตัวทางสังคมเร็ว
และเมื่อมีผลกระทบทางสังคมก็ได้รับเร็วเช่นกัน
เพราะฉะนั้นบางครอบครัวก็พัฒนาเศรษฐกิจความเป็นอยู่ได้ดีและรวดเร็วเช่นกัน
ส่วนบางครอบครัวที่ผู้นำในครอบครัวขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัว เช่น
ติดยาเสพย์ติ ค่า
จำหน่ายยาเสพย์ติด ครอบครัวแตกแยก ล้มเหลว
ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะไม่ได้รับการทัดทานจากผู้ใหญ่
การตัดสินใจของพ่อบ้าน แม่บ้าน ลูกมักจะขาดหลักการเหตุผล และสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นมีความรุนแรงสูงเหมือนที่เป็นอยู่ทั่วไปในประเทศไทยปัจจุบัน
แต่ด้วยควมรักถิ่นและไม่ค่อยทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดของชาวบ้านยางชุมใหญ่ก็ยังเป็นส่วนดีส่วนหนึ่งที่ทำให้ มีการรวมกลุ่มของหมู่ญาติ ได้มีโอกาสช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได้มีการขอแรง
เป็นการลงแขกช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อันเป็นส่วนหนึ่งในการยึดเหนี่ยวเกี่ยวพัน
สร้างสามัคคีในหมู่คณะ
*
สถาบันทางการศึกษาในบ้านยางชุมใหญ่ปัจจุบันมีการจัดการศึกษาทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน
ในโรงเรียนได้เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ส่วนการศึกษานอกโรงเรียนได้มีการจัดการศึกษาอยู่หลายส่วน เช่น
การคึกษาตามอัธยาศัย
ก็จัดให้มีที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน การจัดการศึกษาสายสามัญ ระดับประถม
ระดับมัธยมต้น ระดับมัธยมปลาย ที่บ้านอาจารย์ซุนย้ง แซ่เตียว
ที่คุณหมอรุ่งเพชร ทัดเทียม การจัดการศึกษาของกรมการศาสนาจัดในระดับอนุบาลเด็กเล็กที่วัดบ้านยางชุมใหญ่ ส่วนการประชุมอบรม
สัมมนาทางวิชาการเป็นครั้งคราวจะเป็นการจัดของกรมการศึกษานอกโรงเรียน เช่นการศึกษาอาชีพระยะสั้นของอาจารย์ทองใบ แซ่เตียว
การอบรมรัฐธรรมนูญ ของ กศน.
อบรม อสม. ของสถานีอนามัย อบรมเยาวชนของพัฒนาชุมชน อบรมเกษตร
อบรมการทำปุ๋ย
นับว่าบ้านยางชุมใหญ่เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่ให้ความสำคัญของการศึกษาและประชากรมีการศึกษาสูง แต่เมื่อสำรวขสภาพปัญหาทางสัมคมแล้ว
ก็นับว่าเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีปัญหาสังคมมาก โดยเฉพาะเรื่องยาเสพย์ติด การค้า
การเสพ มีการตาย เป็นบ้าก็หลายราย แต่ก็ยังมีปัญหาหมักหมม จนกระทั่งปัจจุบัน ด้วยการเป็นโลกาภิวัฒน์ ถ้าจะปราบให้หมดจากบ้านเราในเรื่องการค้า
การเสพ
ก็คงเลื่อนไหลไปมากับหมู่บ้านข้างเคียง
แก้ยาก
วิธีที่จะได้ผลต้องเน้นสถาบันครอบครัว
ให้ความอบอุ่น ให้พออยู่พอกินไม่ฟุ่มเฟือย และทุกคนต้องแก้ปัญหา
คนที่โยนปัญหายาเสพย์ติดให้กับบุคคลอื่นน่าจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่า เพราะถ้าถิดถึงหลักเหตุผลการไหลวนของแม่น้ำ การแก้ปัญหาแต่ละจุด ถ้ามองในระดับโลก ถ้าปราบที่พม่าได้ ก็ไปโผล่ที่ลาว ปราบที่ลาวก็โผล่ที่ไทย จะหมุนวนไปเรื่อย ๆ เปรียบเสมือน
ถ้าปราบที่บ้านยางชุมใหญ่สำเร็จรับรองว่าคนเสพไม่เลิกเสพ ก็จะไปเสพที่บ้านผักขะ บ้านยางชุมน้อย หรือที่อื่น
ส่วนคนขาย
ขายบ้านนี้ไม่ได้ก็ไปขายบ้านอื่น
ยิ่งปราบก็ยิ่งมาก
ยิ่งบอกให้เลิกก็เหมือนยิ่งยุ
ขอร้องให้ทุกคนถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องปรามคนของครอบครัวของตนเอง
และที่สำคัญตัวเราเองก็จะต้องไม่เสพยาเสพย์ติด
แล้วลูกของเราก็จะเอาแบบอย่างไม่เสพยาเช่นกัน จากการสังเกตภาพรวม ถ้าครอบครัวใดผู้ปกครอง ญาติไม่เคยเสพยาเสพย์ติดมาก่อน รุ่นลูกรุ่นหลานจะติดยานั้นมีน้อย เปรียบเสมือนพ่อแม่เป็นจิ๊กโก๋นักเลง ลูกออกมาก็เช่นกัน ถ้าไม่อยากให้ลูกปูเดินเซไปเซมา แม่ปูก็อย่าเซเช่นกัน
*
สถาบันทางศาสนา สอนให้คนเป็นคนดี ลูกชายควรได้รับการบวชเณร ควรได้รับการบวชพระเมื่ออายุ 20 ปี
เพื่อให้เป็นคนสุก
คนที่สมบูรณ์ เป็นทิด หรือเป็นบัณฑิต สมัยก่อนได้บวชกันทุกคนเพราะถ้าใครไม่ได้บวชจะถือว่าเป็นคนดิบ
แต่ปัจจุบันค่านิยมการบวชที่ต้องใช้เงินมาก หรือการเคร่งทางศาสนาก็น้อยลง การอบรมสั่งสอน ตลอดทั้งการถือศีลวินัยของพระ การส่งลูกหลานเข้าบวชมีน้อย จะเห็นว่าทุกเหตุผลล้วนประกอบกัน ทำให้มีคนเข้าไปบวชเรียนเขียนอ่านศึกษาพระธรรมทางศาสนานั้นน้อยมากแทบจะได้ชื่อว่าศาสนาเสื่อม
บางครั้งก็กลายเป็นคนที่ถือศีลคือคนที่ห่างวัด แต่คนเข้าวัดคือคนหากินกับศาสนา จนบางครั้งแทบจะแยกกันไม่ออกว่าใครคือคนดี ใครคือคนชั่ว
ใครคือผู้ทรงศีล
แต่ความจริงย่อมอยู่ที่ใจของผู้กระทำ
ขอให้ท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่าได้ท้อถอยต่อคำกล่าวใด ๆ
กฎแห่งกรรมขององค์พระพุทธเจ้านั้นยังคงมีจริงส่งประกายประกาศสัจธรรมมาแล้ว 2548 ปี
เป็นสัจธรรมที่เป็นจริงประกาศให้โลกได้รับรู้ คนทำดีย่อมได้ไปสวรรค์ ส่วนคนชั่วนั้นก็ต้องตกนรกอย่างแน่นอน
*
สถานีอนามัยบ้านยางชุมใหญ่
เป็นสถาบันหนึ่งในชุมชนที่มีบทบาทมากในปัจจุบันในด้านการสาธารณสุข ในเรื่องการดูแลสุขภาพร่างกาย การรักษาและการป้องกัน
โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยได้กำหนดให้มีแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8
ช่วง พ.ศ. 2540 –
2544 เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาคน ด้านความรู้
ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสติปัญญา
จะเห็นว่าด้านร่างกายเป็นด้านที่มองเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดในการที่จะพัฒนาให้คนมีสสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ควรมีการป้องกัน เช่น
การคุ้มครองผู้บริโภค
การจัดทำบัตรสุขภาพ
การดำเนินชีวิตตามหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ
เดิมสถานีอนามัยบ้านยางชุมใหญ่ขึ้นกับสถานีอนามัยบ้านผักขะ ด้วยความผูกพันทุนการศึกษาของนางสุณา บุญคง
รับผิดชอบตำบลลิ้นฟ้าทั้งหมด พ.ศ. 2524 ได้ตั้งสถานีอนามัยที่บ้านยางชุมใหญ่ ชื่อว่าสถานีอนามัยตำบลลิ้นฟ้า แยกรับผิดชอบจากสถานีอนามัยบ้านผักขะ ปัจจุบันมี
นางจินตนา
เชาว์ชอบเป็นหัวหน้าสถานีอนามัย
สถานีอนามัยบ้านยางชุมใหญ่ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารสถานีอนามัยหลังใหม่ จัดสถานที่ได้สวยงาม มีเนื้อที่มากพอควร ซึ่งเนื้อที่ดินนี้ได้รับการอนุเคราะห์จาก แม่ใหญ่ผัน
แซ่ลิ้ม นางเบี่ยง เชาว์ชอบ
นายวีระพงษ์ เชาว์ชอบ นางเฮียง
แซ่เตียว และลูกหลาน
ผุ้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีอนามัยก็เป็นลูกสะใภ้ของนายวีระพงษ์ เชาว์ชอบคือ
นางจินตนา เชาว์ชอบ
เป็นบุคคลสำคัญในการบุกเบิกพัฒนาสถานีอนามัยและพัฒนาชุมชน ซึ่งได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
สถานีอนามัยคือสถาบันที่สำคัญยิ่งในปัจจุบันที่ทุกคน ทุกครอบครัวต้องไปติดต่อ ไปรักษา
ไปป้องกันสุขภาพ
และถือได้ว่าสถานีอนามัยคือส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างแท้จริง
ชนพื้นบ้านของชาวยางชุมใหญ่
ชาวยางชุมใหญ่เป็นคนลาวแท้
ๆ เป็นคนลาวกลุ่มทางเวียงจันทน์ อพยพเลือกถิ่นทำมาหากินที่เหมาะสม
มีภาษาพูดของตนเองที่เด่นชัดที่แตกต่างจากหมู่บ้านอื่น มีการแต่งกายทีเป็นเอกลักษณ์ เสื้อผ้าก็ทอเอง เครื่องปั่นฝ้าย อิ้วฝ้าย
ดีดฝ้าย ปัจจุบันก็ยังคงเหลืออยู่ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมก็ยังได้รับการสืบสานมาจนกระทั่งปัจจุบัน เสื้อผ้าก็เย็บใช้เองด้วยมือ ผ้าไหมย้อมมะเกลือ สมัยก่อนกระดุมทำด้วยเหรียญเงิน ผ้าซิ่นมีตีนซิ่น ผู้ชายชอบใส่ผ้าโสร่ง ทำด้วยไหม
ส่วนผ้าฝ้ายมักทอเป็นผ้าขาวม้าประจำตัว
อย่างน้อยก็นุ่งอาบน้ำ ( เหน็บกะเตี่ยว ) ส่วนผู้หญิงก็ใช้เคียน อก
ใช้เบี่ยงบ่าเวลาเข้าวัดฟังธรรม
แต่ก็มีคนจีนเข้ามาค้าขายมีครอบครัวในหมู่บ้านยางชุมใหญ่ ประมาณ 2 ครั้ง ครั้งแรกก็เป็นเจ๊กเสาร์ ( เข้ามาตั้งแต่ยังไม่มีนามสกุลใช้
) ลูกหลานจะออกมาเป็นคนขาว
ๆ และต่อมาก็มีอาแปะเจ๊กเอียง(นายซุนเอียง
แซ่ลิ้ม) สามีแม่ใหญ่ผัน แซ่ลิ้ม
ซึ่งมีลูกหลานมากครอบครัวหนึ่ง
ภาษาลาว สำเนียงบ้านยางชุมใหญ่ปัจจุบันค่อย ๆ
จางหายไปมีลักษณะคล้ายกันกับบ้านอื่น ๆ
และมีหลายคำที่จางหายไป เช่นคำว่า ขี้เปี๋ย
ขี้สีด กะโล่เกียน โจก ท้าว
นาง หมู่สู ตูข้อย
ลักษณะความเชื่อความผูกพันกับธรรมชาติ เช่น
ผี ตามต้นไม้ใหญ่ ดอนปู่ตา
ภูมิบ้าน ภูมิวัด การเลี้งผีบ้าน ผีนา
ผีโป่ง ผีปอบ เลี้ยงนางน้อยธรณี มีความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ เช่น
การสู่ขวัญ การแต่งแก้ การขึ้นบ้านใหม่ การแต่งงาน
และความเชื่อทางพุทธศาสนาและการยึดจารีตประเพณีของท้องถิ่น เช่น
สอนลูกผู้หญิงให้ยึด “ เฮือน 3 น้ำ 4 ” เฮือน 3
ได้แก่
เฮือนครัว เฮือนกาย เฮือนนอน
ทั้งสามสิ่งนี้จะต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อยอยู่เสมอ น้ำ 4 ได้แก่ น้ำดื่ม
น้ำอาบ น้ำเต้าปูน น้ำใจ
สี่ประการนี้จะต้องเติมให้เต็มอยู่เสมอ
ถ้าหญิงใดปฏิบัติเฮือน 3 น้ำ 4
ได้
หญิงนั้นถือว่าเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีทำให้ครอบครัวมีความสุข
ขอขอบคุณข้อมูลดีที่มีประโยชน์จาก
อาจารย์ซุนย้ง แซ่เตียว
*ข้อมูลบางส่วนอาจมีส่วนที่เข้าใจผิดพลาดจึงขออภัย ณที่่นี้ด้วย*
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น