ลักษณะทางเศรษฐกิจและพืชเศรษฐกิจ


ลักษณะทางเศรษฐกิจและพืชเศรษฐกิจ

ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  มีการทำนาในฤดูกาลทำนาและมีการปลูกหอม  พริก  กระเทียม  ในช่วงฤดูหนาว  การทำนาส่วนใหญ่จะทำพอเพียงแก่การบริโภคในครัวเรือนในรอบปี  จะมีการขายบ้างบางส่วนพอได้ค่าปุ๋ย  ส่วนรายได้หลักถือว่าเป็นรายได้ครอบครัว  ที่สามารถนำมาเป็นค่าเล่าเรียนบุตร  เป็นรายได้มาสร้างบ้าน  เป็นรายได้มาซื้อรถไถนา  รถยนต์  รถมอเตอร์ไซด์  ถือมาจากการจำหน่ายหอมเป็นส่วนใหญ่
หอมแดง  เป็นส่วนหนึ่งของคำขวัญศรีสะเกษที่ว่า  ศรีสะเกษ  แดนปราสาทขอม  หอมกระเทียมดี  มีสวนสมเด็จ  เขตดงลำดวน  หลากล้วนวัฒนธรรม  เลิศล้ำสามัคคี   คำว่า  หอมกระเทียมดี  นี้หมายถึงเขตอำเภอยางชุมน้อยถือว่าเป็นหลักใหญ่ในการผลิตหอมแดงแหล่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดศรีสะเกษ  โดยเฉพาะบ้านยางชุมใหญ่ของเราถือได้ว่าทุกครัวเรือนมีอาชีพในการปลูกหอมแดงเป็นอาชีพหลัก
ในสมัยบรรพบุรุษประมาณ  50  ปีก่อนการปลูกหอมจะมีทุกครอบครัว  แต่เทคโนโลยีมีไม่มากเหมือนปัจจุบัน  ทุกอย่างจะใช้แรงงานคน  การทำแปลงหอม  การเตรียมดิน  จะใช้แรงงานพ่อบ้านขุดดินจอมปลวกเกลี่ยให้เสมอกัน  ใช้จอบตีคันคูของแปลงให้สวยงาม  การทำหอมจะไม่มากนักแต่ละครอบครัวจะทำประมาณครอบครัวละ  ใน  ของงาน  ( ประมาณ  25  ตารางวา พ่อบ้านและลูกจะตื่นประมาณ  ตี  4 ไปรดหอมที่สวน  โดยใช้คุไม้หรือถังสังกะสีใช้มือถือถังน้ำเดินเข้าไปที่ดินคูของแปลงแล้วใช้มือวิดน้ำจากถังลงไปที่แปลง  กว่าจะรดน้ำเสร็จทั่วแปลงก็สายประมาณ  8  นาฬิกาค่อยเข้าบ้าน
การขายหอมจะมีการขายอยู่  2  ช่วง  ช่วงแรกคืออยู่ระหว่างหอมกำลังเจริญเติบโตเต็มที่  จะมีการดึงใบนอกสุดประมาณ  1 ใบต่อต้น  ( แกะขี้ตาผัก นำมามัดเป็นกำ ๆ  และเก็บดอกหอมมามัดเป็นกำจะนำไปขายที่ตลาดเช้าที่ศรีสะเกษ  การเก็บจะเก็บตอนกลางวัน  พอตกเย็นก็จะทำการมัด  เมื่อมัดเสร็จประมาณ  ทุ่ม  บางคนจะนอนสักงีบหนึ่ง  บางคนก็ไม่นอน  เมื่อถึงประมาณ  4  ทุ่มก็จะนัดหมายเพื่อบ้านประมาณ  5 10  คนร่วมกันหาบใส่ตะกร้าเดินเท้าเปล่าไปที่ตลาด  ตามเส้นทางผ่านบ้านผักขะ  เข้าโนนทราย  แถวบ้านง้อ  เมื่อไปถึงบริเวณโนนทรายจะนั่งพักคุยกันหรือไม่ก็นอนสักงีบหนึ่ง  เมื่อถึงประมาณตี  ก็จะเดินทางต่อเข้าศรีสะเกษ  ( ในการเดินทางจะได้นั่งเรือพายข้ามน้ำอยู่  ครั้ง  โดยครั้งแรกที่บ้านผักขะ  และครั้งที่สองก็นั่งเรือข้ามห้วยสำราญ  ตรงท่าเรือวัดป่ามิ่งเมือง จะไปถึงตลาดสดศรีสะเกษประมาณตี  จะทำการขายสินค้า  เสร็จเรียบร้อยประมาณ  โมงครึ่ง  การเข้าเมืองส่วนใหญ่จะมีห่อข้าวเหนียวไปด้วย  จะซื้อปลาทูตัวละประมาณ  50  สตางค์  มาร่วมกันรับประทานแล้วก็พากันซื้อสิ่งของกับบ้าน  ขนม  ก๋วยเตี๋ยว  เนื้อหมู  เพื่อนำมาฝากลูกและครอบครัวที่บ้าน  ( คนที่ไปตลาดส่วนใหญ่จะเป็นคนที่แข็งแรง  เดินทางได้ไกล เด็ก ๆ  จะวิ่งไปรับพ่อแม่ตอนเย็น  ประมาณ  บ่าย  2 3  โมงเย็น  ไปรอที่บริเวณต้นตาลคู่  ด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
การขายหอมในช่วงที่สองคือตอนที่หอมแก่จัด  เมื่อเก็บดอกหอมออกแล้วจะปล่อยให้หอมแก่มาก  ให้หอมเป็นสีเหลือง  ใบแห้งและล้มเองที่แปลง  ค่อยเอาเสียมไปขุด  นำมาผึ่งลมให้แห้งค่อยมัดส่วนหนึ่งเก็บไว้ทำพันธุ์  อีกส่วนหนึ่งนำไปขายที่ตลาด  ส่วนที่นำไปขายที่ตลาดก็ใช้วิธีหาบไปขายเช่นกัน  ส่วนที่เก็บทำพันธุ์และไว้รับประทานในรอบปี  ก็จะมีไม่มากนัก  จะมัดแล้วใช้ไม้แขวนไว้บนเพดานครัว  ซึ่งด้านพื้นครัวก็จะทำการก่อไฟด้วยฟืนในการทำอาหารทุกวัน  ควันไฟจะคลุ้งปลิวไปที่หอมทุกเช้าเย็น  จึงไม่มีแมลงมารบกวนหรือกัดหอมทำให้หอมไม่ค่อยฝ่อเมื่อสิ้นปีก็นำลงมาปลูกได้ไม่ค่อยเสียหาย  ปัจจุบันน่าจะศึกษาและนำเทคโนโลยีในสมัยบรรพบุรุษมาใช้ในการเก็บหอมไว้นาน
การปลูก  การดูแลรักษา  การให้น้ำ  การขายได้วิวัฒนาการมาตามลำดับอย่างรวดเร็วในช่วง  30  ปีที่ผ่านมา  การใช้แรงงานส่วนใหญ่เริ่มจากการลงแขกการขอความร่วมมือจากญาติพี่น้องในการจัดการ  การทำแปลง  การปลูก  การเก็บเกี่ยว  ตลอดทั้งการจำหน่าย  พัฒนามาเป็นการจ้างแรงงานผสมผสานกับการลงแขก
 การจัดพื้นที่แปลงปลูกหอมได้นำเอารถแทรคเตอร์มาดันที่นาให้สูงขึ้น  ใช้รถดั๊ม  10  ล้อมาใช้ในการขนดินมากองที่แปลง  แล้วใช้รถไถใหญ่เกลี่ยให้เสมอกัน  มีการใช้ทุนในการดำเนินการมาก  การปลูกใช้การจ้างแรงงาน  มีการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์  การใช้ยาบำรุงพืช  การใช้ยาปราบศัตรูพืช  วัชพืชกันอย่างแพร่หลาย  ทุกอย่างล้วนใช้ทุนในการดำเนินการ  ทุกบ้านจึงต้องพยายามหาเครื่องมือมาช่วยในการดำเนินการ  เช่น  รถไถนาเดินตามจะมีแทบทุกครัวเรือน
การดูแลรักษา  การรดน้ำหอมได้วิวัฒนาการมาจากครุ  เป็นหาบบัวลงไปตักในบ่อมารดเป็นใช้เครื่องสูบน้ำแล้วในปัจจุบันนิยมใช้ปั๊มน้ำติดตั้งที่รถไถนาเดินตาม  ฉีดพ่อนให้น้ำหอม  และท้ายสุดปี2548 ได้มีไฟฟ้าการเกษตรเข้าไปถึงสวน ถือว่าเป็นการใช้น้ำที่ราคาถูกที่สุด   ส่วนการจำหน่าย  การเก็บเกี่ยวไม่รอให้แห้งเอง  การปลูกก็เร่งให้โตเร็ว  รีบเก็บ  รีบขาย  มีรถในหมู่บ้านช่วยขนไปขายที่ในตลาด  ทั้งเงินสด  เงินผ่อน  การรวมกลุ่มไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะพ่อค้าคนกลางจะมีทุนมาก  แถมรู้กฎหมายมักใช้วิธีการเข้าแทรกแซงเข้าซื้อตอนกลางคืนบ้าง  ใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกับรถที่ซื้อให้  การดึงราคาใหสูงขึ้นทำได้ยาก  กลไกการตลาดหอมส่วนใหญ่จึงเป็นตลาดเสรี  ถ้าปีไหนสินค้าที่อื่นไม่ค่อยมี  แต่ที่เรามีมากราคาก็จะสูงขึ้น  การแข่งขันจะรุนแรง  แต่หากปีใดราคาหอมตกต่ำก็จะไม่มีพ่อค้ามาซื้อ  หอมก็จะเน่าจำหน่ายไม่ได้  คนปลูกก็ขาดทุน  เข้าตำราทุนหายกำไรหด
คนรวยเพราะหอมก็เยอะ  คนจนเพราะหอมก็มีไม่น้อย  จากการปลูกที่ปลูกเพียงเล็กน้อยในแต่ละครัวเรือน กลายเป็นครอบครัวละ  5 10  ไร่  การลงทุน  ตั้งแต่  30,000  บาท  จนถึง  1 2  แสนบาทต่อปี  เมื่อเงินทุนไม่มีก็ต้องหา  จากแหล่งเงินกู้ปกติ  เช่นธนาคาร  ธกสสหกรณ์การเกษตร  และสุดท้ายเมื่อค่าน้ำมัน  ค่ายา  ฉีดหอมไม่พอ  ก็นำที่นา  ( ใบโฉนด ไปจำนอง  ขายฝาก  ไปยืมเงินนอกระบบแถวในเมือง  เมื่อปีไหนขาดทุน  ที่นาที่สวนก็หายไปด้วย
ทุกวันนี้ใครจะปลูกหอมแบบกล้าได้กล้าเสียแบบเสี่ยงแบบเดิมจึงมีน้อย  เพราะบทเรียนแต่ละครอบครัวที่ได้รับมันเกินคุ้ม  แม้จะมีความรู้ด้านการผลิตมากแต่การตลาดมืดมิด  เพราะหอมก็คือส่วนหนึ่งของสินค้าการเกษตร  ยังขึ้นอยู่กับลมฟ้าอากาศ  ซึ่งไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้  การแทรกแซงราคาก็ไม่ได้ผล  รัฐบาลก็ดูแลน้อย  การเก็บผลผลิตไว้นานก็ไม่ได้  การปลูกหอมก็ยังต้องอาศัยดวง  ประกอบกับความรู้ประสบการณ์ของผู้ปลูก  การประเมินสถานการณ์ของแต่ละปี  ประกอบกับข้อมูลอื่นประกอบ
หอมที่มีราคาดีก็คือหอมที่ออกต้นปี  ประมาณเดือนพฤศจิกายน  ธันวาคม  และข้อมูลส่วนหนึ่งที่สำคัญเป็นส่วนประกอบคือ  ถ้าปีใดประเทศเพื่อบ้านมีน้ำท่วมหนัก  เรือกสวนไร่นาเสียหาย  หรือแม้แต่จังหวัดที่เป็นคู่แข่งในการผลิตหอม  เช่นอุตรดิตถ์  เชียงใหม่  ลำพูน  ถ้าเขาเสียหาย  แต่เราสามารถผลิตหอมได้  ปีนั้นจะมีราคาดีมาก  เช่นปี  พ..  2524
ปัจจุบันการประกอบอาชีพหลัก  อาชีพรองของคนในชุมชนค่อยเปลี่ยนไป  ไม่ยึดมั่นในการปลูกหอมแดงนัก  แต่การทำนา  การทำหอมจะมีส่วนอื่นเป็นส่วนประกอบ  เช่นการทำงานก่อสร้าง  การส่งลูกไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม  งานบริการอื่น ๆ  ช่างเครื่องยนต์  อีเลคทรอนิคส์  รับจ้างทั่วไป  ปลูกพริก  ศึกษาเล่าเรียนไปทำงานราชการบ้าน  เลี้ยงสัตว์  หมู่  วัว  ไก่  อุตสาหกรรมในครัวเรือน  เช่น  โรงสีข้าว  ค้าขาย  และการขายแรงงานในกรุงเทพมหานคร
สภาพเศรษฐกิจ  คล้ายประเทศไทย  มองดูภายนอกจะเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีเศรษฐกิจดี  มีรถยนต์  มีรถไถเดินตาม  มีมอเตอร์ไซด์  มีทีวีสี  มีความเป็นอยู่ค่อนข้างดี  เมื่อ  เข้าสู่ยุคไอเอ็มเอฟ  ธนาคารเพื่อการเกษตร  ( ธกส. )  ได้เข้ามาตรวจสอบหนี้สินของประชากรของบ้านยางชุมใหญ่ปรากฏว่า  ตำบลยางชุมใหญ่ตำบลเดียวมีหนี้สินมากกว่าอำเภอราษีไศลทั้งอำเภอ  ก็น่าตกใจไม่น้อย
สาเหตุใหญ่ของหนี้สินมาจากแมงกะไซของวัยรุ่นช่วงปี  พ..  2535 -  2540  เพื่อหน้าตาของลูกในสังคมพ่อแม่ยอมกู้หนี้ยืมสิน  เอาเงินมาซื้อรถให้ลูกขี่ไปโรงเรียน  เท่ห์ไม่หยอก  บิดกันให้แซด  แข่งกันบ้าง  ซ่ากันบ้าง  ตายกันบ้าง  จนมีคนพูดว่า   มอเตอร์ไซด์คือความหายนะของเยาวชนไทย   จะไม่หายนะได้อย่งไร  วัยรุ่นตายกันมาก  ไปติดยากันก็มาก  มั่วเข็ม  มั่วเซ็กส์  ติดเอดส์ตายบ้าง  เด็กไม่เชื่อพ่อแม่  แถมบังคับพ่อแม่ซื้อรถให้  ถ้าไม่ซื้อให้ก็จะฆ่าตัวตาย  พ่อแม่มีลุกน้อยคน กลัวลูกตายก็ยอมซื้อให้เด็กยุคนี้ส่วนหนึ่ง  ไม่ค่อยเคารพเชื่อฟังพ่อแม่  ครูอาจารย์  อาจเป็นเพราะการตามใจของพ่อแม่  ตามแต่ใจตนเอง  ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดี  ไม่ค่อยประสบความสำเร็จจากการศึกษา  เรียนไม่จบไม่มีงานทำ  ก้าวร้าวต่อผู้ปกครอง  ครูอาจารย์เห็นแก่ตัว  ถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวทางสังคมอย่างรุนแรง  การล้มเหลวทั้งหมดเป็นโดยทั่วไปของประเทศไทย
ขอขอบคุณ  ไอ  เอ็ม  เอฟ  ที่ทำให้คนไทยได้มีโอกาสหวลรำลึกถึงสิ่งดีงามในสังคมไทย  เมื่อเศรษฐกิจล้มเหลว  การพังทลายของทุนนิยม  ทำให้คนได้เห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมโลก  เพื่อนบ้านและสมาชิกในครอบครัว  เมื่อหมดที่นา  เมื่อไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ  เมื่อไม่มีอาหารที่จะรับประทานแต่ละวัน  เมื่อไม่มีที่ไหนให้ยืมเงิน  เมื่อนั้นคุณค่าของข้าวที่มีอยู่ในเล้า  คุณค่าของปลาที่มีอยู่ในหนอง  หอยที่มีในคูสระจะมีรสชาติที่อร่อย  เทียบได้กับอาหารภัตตาคารหรู  พ่อ  แม่  ลูก  ตายายเริ่มหันหน้ามาปรึกษาหารือแก้ไขร่วมกัน  มันต่างกันก่อนนี้ที่ลูก  พ่อแม่ฟ้องเอาที่นาเพื่อนำไปขาย  ไล่พ่อไปยืมเงินซื้อรถมอเตอร์ไซด์  ไม่เคยอยู่พร้อมหน้ากัน  ลูกไปซิ่งมอเตอร์ไซด์  พ่อไปดื่ม  แม่ไปอีกทาง  ขอให้  ไอ  เอ็ม  เอฟ  ได้นำทางให้สังคมบ้านเราเข้าสู่ความสันติสุขในครอบครัวอย่างแท้จริง  ถึงจะจนเศรษฐกิจก็ขอให้ครอบครัวและสังคมในชุมชนมีสุข
เฉลี่ยต่อหัวต่อคนต่อปีในปี  2541  ประมาณ  - 1,500  บาท  โดยรวมแล้วเฉลี่ยบ้านยางชุมใหญ่ ในวันนี้จะมีหนี้คนละ  10,000  บาท  ชนิดไม่มีเงินไปใช้หนี้  ไม่มีรายได้  ใครจะยึดอะไรก็ทำใจไว้แล้วแต่ก็หลบไอ้เสื้อแดงกันทุกวัน  ไปนาบ้าง  ไปสวนบ้าง  บางวันหลบไม่ทันก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำเข้าไว้ ปี2548 นับว่าเป็นรัฐบาลที่ทำให้ประเทศไทยหายจนได้ แต่ในใส้ลึกของสังคมไทย ลูกยังคงเป็นเทวดา ที่ไม่ยอมเรียน ใช้เงินเป็นอย่างเดียว งานไม่ต้องทำ มั่วเหล้า เซ็กส์ ประเทศไทยยังต้องปวดหัวกับวัยสะรุ่นอีกนาน  ตราบใดที่ ครอบครัวไม่เข้มแข็ง พ่อแม่บอกลูกไม่ได้ ทิ้งปัญหาให้ครู ให้นายก ให้สังคม โดยที่ครอบครัวตนเองไม่มีระบบ ไม่เคารพ ไม่เชื่อถือ ไม่ทำงาน สุดท้ายก็โยนให้สังคม  วิธีแก้ที่ดีที่สุด ขอให้ทุกครอบครัว เอาครอบครัวของตนเองให้มีสุขและประเทศไทยก็จะสุขเอง ไม่ต้องเก่งก็ได้ ขอให้มีกินมีอยู่ มีธรรมมะ ให้ อภัย อย่าสอนลูกให้ชนะอย่างเดียว สอนให้เขายอมบ้าง  แล้วเขาก็จะยอมเรา ครอบครัวก็จะสุข




ขอขอบคุณข้อมูลดีที่มีประโยชน์จาก
 อาจารย์ซุนย้ง  แซ่เตียว
*ข้อมูลบางส่วนอาจมีส่วนที่เข้าใจผิดพลาดจึงขออภัย ณที่่นี้ด้วย*

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น